สารจากประธานกรรมการ

นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์
ประธานกรรมการ

        ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยคาดขยายตัวที่ร้อยละ 1.9 ต่อปี (ข้อมูลตามสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) โดยมีปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก และความผันผวนของนโยบายทางการเงินและตลาดเงินโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องจนถึงปี 2567 บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“PRIME”) มีการขยายตัวทางด้านรายได้ในอัตราที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ 34.70 เมื่อเทียบกับปี 2565 ในปีนี้รายได้หลักของ PRIME มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power Plant) PRIME มีโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่ทำสัญญาผลิตและขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ให้กับรัฐวิสาหกิจของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ไต้หวันและกัมพูชา โดยโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของรัฐบาลกัมพูชาในจังหวัดกำปงชนัง มีกำลังการผลิตติดตั้งและทำสัญญา 77 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) 60 เมกะวัตต์ตั้งแต่ธันวาคม 2565 ทั้งนี้รายได้จากการขายไฟฟ้าของ PRIME ในปี 2566 เท่ากับ 997.57 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51.04

        ณ สิ้นปี 2566 PRIME มีกำลังการผลิตรวม 301.62 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตตามสัญญา 261.08 เมกะวัตต์ เนื่องจากในเดือนกันยายน บริษัทในกลุ่มธุรกิจของ PRIME ได้มีการขายหุ้นใน Aizu Energy PTE Ltd. ที่ถือครองอยู่ทั้งหมดร้อยละ 25 ของ โครงการ Awaji โครงการ Yabuki และโครงการ Hino รวม 24.3 เมกะวัตต์ เป็นผลให้จำนวนกำลังการผลิตของ PRIME ลดลงเล็กน้อย 2.32 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับปี 2565 ส่วนรายได้อื่น ๆ PRIME มีธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (EPC) ซึ่งมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด ร้อยละ 131.65 ต่อปี ธุรกิจขายไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) และธุรกิจจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับพลังงาน (Trading) ที่ยังคงมีการเติบโตและการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

        ในปี 2566 PRIME ได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทยในระดับ 4 ดาว หรือ “ดีมาก” จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่ง PRIME ได้รับระดับ 4 ดาว ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัทที่มีมาตรฐาน และความพร้อมในการรักษาพัฒนาการกำกับดูแลกิจการในระดับดี ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ PRIME เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งผลักดันให้คณะกรรมการบริษัท ผู้บริหารและพนักงานทุกคนให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ถึงหน้าที่ของตนอย่างมีจรรยาบรรณ ซื่อสัตย์ สุจริต รับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้ PRIME รักษาสมดุลของผลตอบแทนในระยะสั้น และระยะยาว ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทอย่างยั่งยืน รวมทั้ง ส่งผลให้ PRIME ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2566 โดยทางสถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ PRIME เป็นหนึ่งในรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2566 ด้วยการคัดเลือกจาก 888 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลด้าน ESG ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ของกิจการ

        ความสำเร็จในปี 2566 ของ PRIME ที่เราภูมิใจ คือ กลุ่มบริษัทของ PRIME ชนะการประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนจำนวน 4 โครงการ ในโซลาร์ฟาร์ม 2 โครงการ ประมาณ 25 เมกะวัตต์ ซึ่งลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียบร้อยแล้ว และอีก 2 โครงการคือ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) ประมาณ 72.26 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 87.96 เมกะวัตต์ อีกทั้งกลุ่มบริษัทของ PRIME มีรายได้จากการซื้อขายและขอรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (The International Renewable Energy Certificate; I-REC) นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 กลุ่มบริษัทของ PRIME ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนโครงการ Carbon Credit ในรูปแบบ Verra ของโครงการ National Solar Park กัมพูชา ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 77.00 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทภายในไตรมาส 1 ปี 2568

        สุดท้ายนี้ ในนามของคณะกรรมการ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ขอขอบพระคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทของ PRIME ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับเกียรติและการสนับสนุนที่ดีจากท่านเช่นนี้ตลอดไป และผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพนักงานและผู้บริหารทุกท่านอุทิศตน ทุ่มเทในการทำงานเพื่อบริษัทปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็งและมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญของบริษัททำให้ PRIME มีความมั่นคงและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของ PRIME ต่อไป

        ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยคาดขยายตัวที่ร้อยละ 1.9 ต่อปี (ข้อมูลตามสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) โดยมีปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก และความผันผวนของนโยบายทางการเงินและตลาดเงินโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องจนถึงปี 2567 บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“PRIME”) มีการขยายตัวทางด้านรายได้ในอัตราที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ 34.70 เมื่อเทียบกับปี 2565 ในปีนี้รายได้หลักของ PRIME มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power Plant) PRIME มีโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่ทำสัญญาผลิตและขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ให้กับรัฐวิสาหกิจของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ไต้หวันและกัมพูชา โดยโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของรัฐบาลกัมพูชาในจังหวัดกำปงชนัง มีกำลังการผลิตติดตั้งและทำสัญญา 77 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) 60 เมกะวัตต์ตั้งแต่ธันวาคม 2565 ทั้งนี้รายได้จากการขายไฟฟ้าของ PRIME ในปี 2566 เท่ากับ 997.57 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51.04

        ณ สิ้นปี 2566 PRIME มีกำลังการผลิตรวม 301.62 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตตามสัญญา 261.08 เมกะวัตต์ เนื่องจากในเดือนกันยายน บริษัทในกลุ่มธุรกิจของ PRIME ได้มีการขายหุ้นใน Aizu Energy PTE Ltd. ที่ถือครองอยู่ทั้งหมดร้อยละ 25 ของ โครงการ Awaji โครงการ Yabuki และโครงการ Hino รวม 24.3 เมกะวัตต์ เป็นผลให้จำนวนกำลังการผลิตของ PRIME ลดลงเล็กน้อย 2.32 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับปี 2565 ส่วนรายได้อื่น ๆ PRIME มีธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (EPC) ซึ่งมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด ร้อยละ 131.65 ต่อปี ธุรกิจขายไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) และธุรกิจจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับพลังงาน (Trading) ที่ยังคงมีการเติบโตและการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

        ในปี 2566 PRIME ได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทยในระดับ 4 ดาว หรือ “ดีมาก” จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่ง PRIME ได้รับระดับ 4 ดาว ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัทที่มีมาตรฐาน และความพร้อมในการรักษาพัฒนาการกำกับดูแลกิจการในระดับดี ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ PRIME เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งผลักดันให้คณะกรรมการบริษัท ผู้บริหารและพนักงานทุกคนให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ถึงหน้าที่ของตนอย่างมีจรรยาบรรณ ซื่อสัตย์ สุจริต รับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้ PRIME รักษาสมดุลของผลตอบแทนในระยะสั้น และระยะยาว ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทอย่างยั่งยืน รวมทั้ง ส่งผลให้ PRIME ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2566 โดยทางสถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ PRIME เป็นหนึ่งในรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2566 ด้วยการคัดเลือกจาก 888 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลด้าน ESG ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ของกิจการ

        ความสำเร็จในปี 2566 ของ PRIME ที่เราภูมิใจ คือ กลุ่มบริษัทของ PRIME ชนะการประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนจำนวน 4 โครงการ ในโซลาร์ฟาร์ม 2 โครงการ ประมาณ 25 เมกะวัตต์ ซึ่งลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียบร้อยแล้ว และอีก 2 โครงการคือ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) ประมาณ 72.26 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 87.96 เมกะวัตต์ อีกทั้งกลุ่มบริษัทของ PRIME มีรายได้จากการซื้อขายและขอรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (The International Renewable Energy Certificate; I-REC) นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 กลุ่มบริษัทของ PRIME ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนโครงการ Carbon Credit ในรูปแบบ Verra ของโครงการ National Solar Park กัมพูชา ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 77.00 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทภายในไตรมาส 1 ปี 2568

        สุดท้ายนี้ ในนามของคณะกรรมการ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ขอขอบพระคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทของ PRIME ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับเกียรติและการสนับสนุนที่ดีจากท่านเช่นนี้ตลอดไป และผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพนักงานและผู้บริหารทุกท่านอุทิศตน ทุ่มเทในการทำงานเพื่อบริษัทปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็งและมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญของบริษัททำให้ PRIME มีความมั่นคงและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของ PRIME ต่อไป

นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์
ประธานกรรมการ